แฮร์รี แม็คไกวร์ กัปตัน ทีมยูไนเต็ด เป็นแกนหลักในแนวรับของทีมเมื่อฤดูกาลที่แล้ว จากการลงเล่นเกือบทุกเกมที่ตนเองมีโอกาส (52 นัด จากทั้งหมด 56 นัด) และเล่นได้ดีจนสร้างความร้อนใจกับ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่หวังจะให้เขาลงสนามช่วยทีมชาติอังกฤษ ในศึกยูโร 2020 ที่รออยู่
น่าเสียดายที่ แม็คไกวร์ ฟิตไม่ทันลงเล่นรอบชิงยูโรปา ลีก ที่ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของ ปีศาจแดง ต่อ บียาร์เรอัล ในช่วงของการดวลจุดโทษ
แต่เขายังถูกเข็นลงสนามรับใช้ชาติโชว์ฟอร์มแจ๋วจนไปพ่ายในรอบชิงชนะเลิศ ยูโร แก่ อิตาลี
ตัดภาพกลับมาในปัจจุบัน มีข่าวลือว่า ราล์ฟ รังนิค เตรียมดร็อป แม็คไกวร์ เซ่นผลงานที่ไม่เอาอ่าวระยะหลัง
ในเกมกับ อาร์เซนอล คืนนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนๆ แมนฯ ยูไนเต็ด ทุกคนแสดงท่าทางดีใจอย่างออกนอกหน้า
จริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในระยะเวลาเพียงปีเดียวของ กัปตัน แฮร์รี แม็คไกวร์?
หน้าร้อนปี 2019 แม็คไกวร์ ย้ายเข้ามากับความคาดหวังที่สูงลิบ เพราะค่าตัว 80 ล้านปอนด์ที่มาพร้อมกับเขา และอันที่จริงเขาก็ออกสตาร์ทได้ดีทีเดียว
ไม่นานหลังจากนั้น แอชลีย์ ยัง ตัดสินใจย้ายออกไปเล่นให้กับ อินเตอร์ มิลาน
ทำให้ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ตัดสินใจมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้แก่เขา
ภาระการเป็นเสาหลักของทีมจึงตกไปอยู่ที่ แม็คไกวร์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฤดูกาลที่สอง แม็คไกวร์ เริ่มต้นได้ไม่สวยนัก และใบแดงในเกมทีมชาติเดือนตุลาคมก็ยิ่งทำให้มันแย่เข้าไปอีก
กระนั้น บทบาทการเป็นตัวชนและพาบอลขึ้นหน้าของเขาก็ยังช่วยทีมได้ไม่น้อยเหมือนกัน
และแล้ว จาดอน ซานโช, ราฟาแอล วาราน และ คริสเตียโน โรนัลโด ก็เดินตบเท้าเข้ามาในโอลด์ แทรฟฟอร์ด พร้อมๆกัน
โดยความคาดหวังกับ แม็คไกวร์ ยิ่งสูงขึ้นไปอีก เมื่อทุกคนคิดว่าท้ายที่สุด แมนฯ ยูไนเต็ด ก็จะได้คู่หูที่สมบูรณ์แบบสำหรับอดีตแข้งจิ้งจอกสยามมาร่วมทีมเสียที
โซลชาร์ พยายามปรับรูปเกมให้เน้นเกมรุกมากขึ้น จากเดิมจะเป็นการยืนแบบ 3-1-6 ยามทีมเปิดเกมรุก
ก็กลายมาเป็น 2-2-6 โดยให้ทีมดันขึ้นไปสูงกันหมดทุกคน
เพราะฉะนั้น แม็คไกวร์ จึงต้องรับหน้าที่หนักขึ้นเมื่อพื้นที่ในแดนตัวเองมีมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อต้องวิ่งไล่กวดบอลยามโดนโต้กลับจากคู่แข่ง และความเร็วก็ไม่ใช่จุดแข็งของเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เกมที่เสมอ 1-1 กับ เซาธ์แฮมป์ตัน ในช่วงต้นฤดูกาล ทำให้เห็นชัดขึ้นว่า แม็คไกวร์ รับมือคู่แข่งที่มีความคล่องตัวสูงๆไม่ไหวเลย
แถม วาราน ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการรักษาตัว
ทว่า โซลชาร์ ก็ยังคงไว้ใจในแผนการของตัวเองและในตัวกัปตัน โดยหวังว่าผลงานของทีมจะดีขึ้นได้
แต่หลัง แม็คไกวร์ ถูกฝืนให้ลงสนามในเกมแพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-4 ในเดือนตุลาคม ทุกคนก็เริ่มตั้งคำถาม
ว่า เหตุใด เอริค ไบญี ถึงได้ลงเล่นน้อยเหลือเกิน? และมันท่าจะจริงที่ว่ากัปตันอาจจะต้องการเวลาพักฟื้นมากกว่านี้ แม้ว่าเกมดังกล่าวจะสำคัญมากแค่ไหนก็ตาม
นับจากนั้น แม็คไกวร์ ก็ไม่ได้พักแบบเต็มๆสักเท่าใดนัก และยังคงโดนกระแสวิจารณ์แง่ลบถาโถมเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ไม่เว้นแม้ยามลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ
เสียงกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมจาก แม็คไกวร์ ที่เคยได้ยินก้องสนามเมื่อตอนต้องเล่นโดยไม่มีแฟนบอลเริ่มเงียบลง การเข้าปะทะที่ดุดันก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้วจากเขา
ตอนนี้เป็นเสมือนจุดต่ำสุดในอาชีพของ แม็คไกวร์ เลยก็ว่าได้
เมื่อเขาเป็นเป้าของทุกความผิดพลาดไปจนถึงการเป็นมีมให้ชาวเน็ตล้อกันเล่น
และที่ล้ำเส้นเกินไปคงหนีไม่พ้นการถูกขู่วางระเบิดบ้านเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้
เขาถูกบีบให้รับแรงกดดัน กระทั่งโดนมันบี้เสียแบน ซึ่งสโมสรรวมไปถึงผู้เกี่ยวข้องก็สมควรที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย